เด็กชายหุ่นกระป๋อง
โดย Redbox
ถ้าจะมีหุ่นยนต์ที่ดี มันก็ดีเพราะมันเป็นหุ่น
ประโยคสั้นๆ สองวรรคตอนนี้ คือสิ่งที่ผู้คนยึดถือกันในยุคสมัยที่ปัญญาประดิษฐ์และจักรกลรูปร่างมนุษย์กลมกลืนกับสังคมเราเป็นปกติสามัญ
มนุษย์เราสรรค์สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เราด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่า หุ่นยนต์ติดอาวุธถูกสร้างขึ้นทดแทนกำลังทหาร หุ่นยนต์กรรมกรถูกสร้างขึ้นเพราะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พวกมันล้วนถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นทาสไม่ใช่ในแง่ใดก็แง่หนึ่ง ดังนั้นจึงถูกคาดหวังความสมบูรณ์แบบ และพร้อมถูกปิดการทำงานทันทีที่สร้างความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย นั่นเพราะหุ่นยนต์ไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีองค์กรสิทธิมนุษยชน เป็นเพียงอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่สามารถซื้อมาทดแทนได้ตลอดเวลา
แน่นอนว่าเมื่อหุ่นยนต์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ย่อมหมายความถึงปัญหาอันมีสาเหตุจากหุ่นยนต์ย่อมเพิ่มขึ้นตามด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นปัญหาร้ายแรงที่สุดคือการก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก ทว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
เรื่องที่ผมเพิ่งเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยไม่นานนี้ก่อนลาออกจากงานแล้วย้ายที่อยู่ไปพร้อมกับลูกชาย คือเหตุการณ์ประเภทดังกล่าวนี้เอง
หุ่นยนต์ตัวหนึ่งทำร้ายมนุษย์ มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับผมเลย หากไม่นับความคลุมเครือบางประการซึ่งทำให้กลายเป็นความยุ่งยากขึ้นมา
หัวหน้าเรียกผมไปพบในห้องทำงาน บอกว่ามีงานชิ้นหนึ่งให้ช่วยพร้อมกับสั่งให้ไปประเมินหุ่นยนต์ผู้ต้องหาในห้องสอบสวน นาทีนั้นผมเข้าใจว่าเขาคงอยากให้โอกาสผมซึ่งเพิ่งย้ายสำนักงานมาใหม่ได้แสดงฝีมือ ทว่าพอเปิดประตูเข้าไป ผมถึงประจักษ์ว่าเรื่องนี้คือเผือกร้อนซึ่งถูกยัดเยียดให้เพราะไม่มีใครอยากทำ
มีเด็กชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้อง
ต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าสมองผมจะประมวลเรื่องราวและเข้าใจกระจ่างแจ้งว่า หุ่นยนต์ผู้ต้องหาที่ต้องมาพูดคุยด้วยอยู่ในรูปลักษณ์ไร้เดียงสาไร้พิษภัย
ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนอยากเผชิญกับเรื่องแบบนี้หรอก แม้เราจะรู้แก่ใจว่าแท้จริงเด็กคนนี้คือส่วนประกอบของกระแสไฟฟ้ากับแผงวงจร แต่ใครเล่าจะต้องการแบกรับความหดหู่พกกลับไปบ้านซึ่งอาจมีลูกๆ วัยเดียวกับหุ่นยนต์เด็กที่เขาเพิ่งเปลี่ยนให้กลายเป็นขยะชิ้นหนึ่ง ถ้าจะมีละก็ เขาคนนั้นคงต้องเป็นเจ้าหน้าที่ฝีมือดีผู้รู้จักแยกแยะเป็นเลิศ ทว่าน่าเสียดายที่ผมไม่เข้าข่ายบุคคลตัวอย่างดังว่าเลย
แต่ในเมื่อรับงานมาแล้ว ต่อให้ไม่ชอบก็จำเป็นต้องทำ
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามสงบอารมณ์ เดินไปหย่อนบั้นท้ายบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหุ่นยนต์ผู้ต้องหา เห็นข้อมือขวาของเขาถูกใส่กุญแจมือล่ามกับโต๊ะดูน่าหดหู่ใจ
หุ่นยนต์เด็กหันมามอง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสะท้อนแสงไฟมีประกายวาววาม ใบหน้ากลมมีพวงแก้มเรื่อสี เส้นผมดำตัดสั้นเป็นทรง ลักษณะทุกอย่างเหมือนกับเอกสารในแฟ้มที่ผมกำลังเพ่งสมาธิอ่าน ทว่าถูกรบกวนด้วยเสียงแหลมเล็กซึ่งจำลองมาได้เหมือนกับเสียงเด็กจริงๆ
“สวัสดีครับคุณผู้ชาย” เจ้าหุ่นเอ่ยทัก “โปรแกรมพยากรณ์อากาศของผมบอกว่าวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสนะครับ ทำไมเราไม่ออกไปเดินเล่นในสวนกัน แทนที่จะมานั่งในห้องทึบๆ แบบนี้”
“เพราะวันนี้ฉันมีงานไงล่ะ และเธอคืองานของฉัน” ผมกล่าว สายตาไม่ละจากหน้ากระดาษ
“คุณมีลูกอมให้ผมสักเม็ดไหมครับ”
“เอาไว้คราวหน้านะ” ผมตอบแบบขอไปที
“ทำไมคุณทำหน้าตาดุจัง”
“ฉันอนุญาตให้เธอพูดหรือ” ชักจะน่ารำคาญ ผมจึงชิงตัดบท
ตอนนั้นผมเพิ่งรู้ตัวว่าเรียกสรรพนามแทนตัวเขาว่า เธอ ซึ่งนับว่าผิดจากวิสัยปกติมาก ทั่วไปเวลาพูดกับผู้ต้องหาหุ่นยนต์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ผมจะใช้คำว่า คุณ วันไหนอารมณ์เสียหน่อยก็ใช้ แก หรือ เอ็ง แต่ไม่เคยใช้ เธอ เหมือนตอนนี้ มันคงเพราะผมไม่อยากรู้สึกว่าพูดจาแย่ๆ กับเด็กกระมัง อย่างน้อยก็ไม่อยากให้มากเกินไปนัก
ผมใช้เวลาประมาณสองนาทีอ่านเอกสารถึงหน้าสุดท้าย แล้วพอเหลือบตาขึ้นก็เห็นเจ้าหุ่นกำลังตีหน้าเศร้าเม้มปากแน่น ทำให้ผมปวดใจขึ้นมาทีเดียว
“สวัสดี D125-D688” ผมทักเขากลับไป ไม่รู้ทำไมทำแบบนั้น
เขาเงยหน้าขึ้น ดูร่าเริงกว่าเดิมเล็กน้อย “ผมชอบชื่อ ดี.ดี. มากกว่า เลขรหัสตัวเครื่องเรียกยากออก”
“ก็ได้ ดี.ดี.” ผมบอก ปรับน้ำเสียงจริงจังขึ้นเมื่อเริ่มเข้าเรื่อง “เธอรู้ไหมว่าทำไมเธอถึงต้องมาอยู่ที่นี่ จากสิ่งที่ทำลงไป เธอเข้าใจความเลวร้ายของมันไหม”
ดี.ดี.ชะงักไปครู่ ความหม่นหมองปรากฏบนใบหน้าซึ่งห่อหุ้มด้วยผิวสังเคราะห์ “ผมเข้าใจครับ” เขาตอบพลางขยับตัวกระสับกระส่าย โซ่คล้องกุญแจมือกระทบกันส่งเสียงเบาๆ
“ผมทำร้ายเด็กคนอื่น คว้าแขนเขาไว้ ได้ยินเสียงเขาร้องลั่นเลย กระดูกแขนอาจหักก็ได้” เสียงพูดเขาเริ่มแผ่วลง “แต่ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้เขาเจ็บตัว”
ผมพยักหน้าขณะฟังเขาแล้วจดบันทึกลงในแบบฟอร์ม
เรื่องนี้ตรงกับในรายงาน มีรายละเอียดคร่าวๆ ว่าดี.ดี.เป็นหุ่นยนต์ของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง มีหน้าที่เป็นแบบอย่างแก่เด็กคนอื่นเพื่อส่งเสริมพฤติกรรม จึงถูกสร้างมามีลักษณะเหมือนมนุษย์และสามารถเรียนรู้ได้เอง ในเอกสารระบุด้วยว่าเขาเคยช่วยชีวิตเด็กที่สำลักอาหารคนหนึ่งมาแล้ว
ผมเคยต้องสั่งปิดระบบหุ่นยนต์มาก่อนหลายตัว ทั้งหมดเป็นพวกหุ่นยนต์เถื่อนหรือไม่ก็วงจรภายในเสียหาย แต่ไม่ใช่กับดี.ดี. “ผลการตรวจสอบบอกว่าสภาพวงจรของเธอปกติดีทุกอย่าง”
เขายิ้มแฉ่งเห็นแผงฟันขาว “ใช่ครับ อาจารย์ใหญ่ดูแลรักษาผมดีมากเลย”
“มีใครได้ลงโปรแกรมนอกกฎหมายให้เธอหรือเปล่า แค่ถามเผื่อไว้ หุ่นยนต์จากโรงงานต้องมีระบบความปลอดภัยในตัวอยู่แล้ว แต่มันอาจถูกปิดได้ถ้ามีคนไปลงโปรแกรมแปลกๆ”
ดี.ดี.ฟังผมแล้วหลับตาลง ลูกตาเทียมหลังเปลือกตากำลังขยับ อันบอกให้รู้ว่าเขากำลังค้นหาประวัติการทำงานย้อนหลัง แล้วไม่นานเขาก็ตอบผมด้วยการสั่นศีรษะ และผมแน่ใจว่าเขาตอบตามความจริง เพราะหุ่นยนต์ไม่ถูกโปรแกรมมาให้โกหกมนุษย์ ต่อให้เป็นสมองกลที่เรียนรู้ได้ก็จะไม่ทำ
“เธอแน่ใจหรือ” ผมถามย้ำด้วยไม่อยากเชื่อหูตนเอง
“แน่ใจครับ อาจารย์ใหญ่ท่านไม่สันทัดเรื่องเทคโนโลยี ระบบของผมจึงยังเหมือนกับตอนถูกซื้อมาอยู่เลย”
คำยืนยันนี้ทำให้ผมรู้สึกฉงนสนเท่ห์
เนื่องจากหุ่นยนต์ทุกตัวล้วนอยู่ภายใต้กฎความปลอดภัยของอาร์ซิมอฟซึ่งไม่อาจละเมิดได้ มันจึงไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะก่ออันตรายต่อมนุษย์ในสภาพที่ระบบทำงานปกติ
ผมทำได้แค่เกาศีรษะแกรกๆ ด้วยไม่เข้าใจว่าสาเหตุคืออะไรกันแน่ ธรรมดาการสอบปากคำผู้ต้องหาหุ่นยนต์จะใช้เวลาไม่นาน ผมแค่ถามคำถามห้าหกข้อ กรอกแบบประเมิน แล้วพิจารณาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากความผิดพลาดของส่วนไหน แต่กับกรณีนี้นับว่าแปลกใหม่อย่างยิ่ง ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่าต้องทำบางอย่างที่ต่างออกไปจากเคย นั่นคือลองใช้วิธีแบบเดียวกับตอนสอบปากคำผู้ต้องหาซึ่งเป็นมนุษย์
“เธอเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม”
“เล่า?” ดี.ดี.กะพริบตาปริบๆ “เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ สาเหตุที่ทำให้เธอต้องลงมือทำร้ายเด็กคนนั้น ฉันอยากฟัง เขาทำร้ายเธอก่อนหรือกลั่นแกล้งให้เชื่อว่าเธอจะถูกทำลายหรือ?” เพราะถ้าใช่มันก็จะเป็นเรื่องการป้องกันตัวของหุ่นยนต์ และปัญหาอาจอยู่ที่การตั้งค่าขีดจำกัดความรุนแรง ผมคิด แต่ไม่ได้พูดให้เขาได้ยิน
ดี.ดี.ส่ายหน้า แล้วเริ่มต้นเล่า
**********
จากนี้ไปจะเป็นเรื่องที่ผมสรุปจากการฟังดี.ดี.เล่ามาอีกที เป็นหลักใหญ่ใจความซึ่งผมคัดกรองมาแล้ว และเนื่องจากมันอาจส่งผลกระทบต่อเด็กบางคน จึงขอให้ทราบโดยทั่วกันว่าผมได้เรียกแทนเธอด้วยชื่อปลอม
เหตุการณ์มีดังต่อไปนี้ :
ดี.ดี.เป็นหุ่นยนต์ส่งเสริมพฤติกรรมสำหรับเด็กของโรงเรียนประถม โปรแกรมของเขาตั้งค่าให้เลียนแบบและเรียนรู้พฤติกรรมของเด็กอายุ 8-10 ปี โดยไม่มีการเติบโตด้านอารมณ์มากไปกว่านั้น แต่ยังคงไว้ซึ่งการรับคำสั่งภายใต้เหตุผลอันสมควรและไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ เขาถูกเปิดการทำงานครั้งแรกเมื่อหกปีที่แล้ว และทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย ทั้งยังเคยทำคุณประโยชน์เช่นการช่วยชีวิตเด็กมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
เรื่องของดี.ดี.ไม่ถือเป็นความลับ ครูและเด็กทุกคนที่โรงเรียนรับรู้ว่าเขาเป็นหุ่นยนต์ แต่ไม่มีใครมาดร้ายหรือจงใจทำอันตรายต่อเขา
ประมาณครึ่งปีก่อนมีเด็กนักเรียนย้ายเข้าใหม่ เป็นเด็กผู้หญิงสมมุติชื่อว่าเหมย มาจากครอบครัวผู้ลี้ภัยอันเนื่องจากผลของสงครามอเมริกา-จีนที่ดำเนินยืดเยื้อเข้าสู่ปีที่สาม สำหรับดี.ดี. เหมยเป็นเด็กอีกคนที่เขาต้องเข้าหาฉันเพื่อนและแสดงแบบอย่างที่ดี เขาจึงไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กคนอื่นกระทำต่อเธอเลย
ดี.ดี.พยายามเข้าหาเหมยเพราะปัญญาประดิษฐ์ของเขามองว่าเธอกำลังต้องการความช่วยเหลือ ทั้งสองพูดคุยกัน เขาได้รู้ว่าเธอกำลังถูกเด็กคนอื่นล้อเลียนเรื่องชาติพันธุ์ จึงนำเรื่องนี้แจ้งกับอาจารย์ที่ปรึกษา ทว่าปัญหากลับไม่ได้รับการแก้ไข ดี.ดี.จึงทำได้เพียงเป็นที่ปรึกษารับฟัง
มีวันหนึ่งเหมยถูกกลั่นแกล้งรุนแรงกว่าทุกที เธอนำเรื่องนี้มาพูดกับเขา แล้วบอกในสิ่งที่เธอสังเกตเห็นว่าผิดปกติเกี่ยวกับพวกเด็กเกเร
นั่นคือเด็กเหล่านั้นเป็นสัตว์ประหลาด
เธอบอกเขาว่าเหล่าเด็กเกเรมีลักษณะบางอย่างที่ไม่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เป็นเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ไม่ใช่มนุษย์ แค่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ การหายใจเป็นสิ่งแกล้งทำ และเลือดเป็นสีดำเหมือนน้ำมันดิน
เป็นธรรมดาที่หุ่นยนต์จากผลงานวิทยาศาสตร์จะเห็นค้าน ทว่าเหมยยังคงยืนกรานแล้วย้อนถามเขา อันผมเชื่อว่าจะกลายเป็นสาเหตุเหตุของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา ดี.ดี.บันทึกบทสนทนาดังกล่าวไว้ในหมวดความทรงจำสำคัญ ซึ่งผมคัดลอกมาทุกถ้อยทุกคำ
เธอถามอย่างนี้ “ดี.ดี. รู้ไหมทำไมหุ่นยนต์ถึงห้ามทำร้ายมนุษย์”
“รู้สิ” ดี.ดี.ตอบ “เพราะมนุษย์สร้างหุ่นยนต์ขึ้นมา”
“แต่ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่สร้างเธอ” เหมยยอกย้อน “เธอต้องปกป้องมนุษย์ ด้วยเหตุผลว่าเป็นมนุษย์ และเพราะมนุษย์คือสิ่งดีงามสำหรับหุ่นยนต์ เธอถึงต้องทำสิ่งถูกต้องโดยปกป้องสิ่งดีงามที่เรียกว่ามนุษย์”
“แปลว่าฉันจะปกป้องเธอด้วย”
“แน่นอน มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
แล้ววันต่อมาเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงของดี.ดี.ก็เกิดขึ้น
สถานที่เกิดเหตุคือในห้องเรียนก่อนเริ่มคาบแรกไม่นาน เด็กเกเรกลุ่มเดิมตรงเข้ามาหาเหมย แล้วเริ่มหยอกล้อเธอด้วยถ้อยคำเหยียดหยามถึงชาติสกุล เรื่องอาจจบลงเหมือนทุกที ผิดกันว่าคราวนี้เหมยหันมาคุยกับดี.ดี.เสียงดังว่า “เธอเห็นการกระทำเหล่านี้เป็นสิ่งดีงามไหม”
คำถามนั้นคงทำให้ไอ้หนูคนหนึ่งไม่พอใจ เขาเริ่มใช้วิธีรุนแรงกับเธอ
ดี.ดี.พยายามห้ามปรามแล้ว แต่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากบอกกล่าวเนื่องจากกฎความปลอดภัยของอาร์ซิมอฟซึ่งสั่งว่าหุ่นยนต์ห้ามทำร้ายมนุษย์
เหมยหมดความอดทนในที่สุด เธอโต้ตอบโดยหยิบเหล็กแหลมจากกล่องดินสอแทงใส่แขนไอ้หนู ทั้งห้องเต็มด้วยเสียงอื้ออึง ไอ้หนูไม่เป็นอะไรมาก แต่มันทำให้เขากับกลุ่มเพื่อนปรี่เข้ามาหาเหมยด้วยท่าทางเอาเรื่อง ไอ้หนูคนนั้นเงื้อแขนขึ้นกำลังจะตีเธอ ทว่าดี.ดี.เข้าคว้าแขนข้างนั้นไว้และทำมันหักในที่สุด
**********
ผมวิเคราะห์เหตุและผลของเหตุร้ายครั้งนี้อยู่พักหนึ่งแล้วได้คำตอบ ตอนแรกมันเป็นแค่ข้อสงสัยที่สะกิดใจ ก่อนจะมาชัดเจนหลังจากผมติดต่อสอบถามกับโรงพยาบาลที่เด็กผู้เคราะห์ร้ายเข้ารับการรักษาตัว
ทันทีที่วางหูโทรศัพท์ ผมรู้สึกเหมือนกับเรี่ยวแรงเหือดหายไปจากร่างขณะก้มอ่านแบบฟอร์มซึ่งหัวข้อผลการประเมินถูกเว้นว่างไว้ และยิ่งสลดใจเมื่อต้องกลับเข้าไปในห้องสอบสวน เพื่อบอกกับดี.ดี.ว่าผมอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา ทว่าความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ต่อให้ผมคัดค้าน เขาก็จะถูกคนอื่นสั่งปิดเครื่องอยู่ดี
ดี.ดี.ก้มหน้าลง เขาคงร้องไห้แล้วหากทำได้ ก่อนใบหน้าสังเคราะห์ซึ่งบริสุทธิ์ใส่ซื่อจะหันมาทางผมแล้วร้องขอบางอย่าง มันเล็กน้อยเสียจนผมไม่จำเป็นต้องให้สัญญา ไม่จำเป็นต้องสนใจด้วยซ้ำเพราะมันเป็นคำขอของหุ่นยนต์ แต่ผมยินยอมตกปากรับคำเขา เพราะมองว่ามันคือคำขอสุดท้ายของนักโทษผู้ถูกตัดสินรับโทษประหารด้วยความผิดที่ไม่ได้ก่อ แต่อยู่ในฐานะเครื่องมือเท่านั้น
ตลอดคืนนั้นผมนอนแทบไม่หลับด้วยรู้สึกเห็นใจดี.ดี.เป็นที่สุด เพราะสิ่งเขาทำลงไปเกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจ และเขาทำมันโดยไม่ขัดต่อกฎของอาร์ซิมอฟเลยแม้แต่ข้อเดียว
**********
คำร้องขอคัดค้านที่ผมส่งไปถูกตีตกตามคาด ไม่มีปาฏิหาริย์
ผมแจ้งดี.ดี.เกี่ยวกับข่าวร้ายนี้ด้วยความขมขื่น เขาดูไม่แปลกใจเลย
ผมเคยเห็นหุ่นยนต์สติแตกหลังได้เห็นใบคำสั่งบังคับปิดการทำงานมาแล้ว แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเหมือนครั้งนี้ เขาแค่พยักหน้าขอบคุณผม เหมือนเพิ่งได้ยินเรื่องไม่ใหญ่โต เหมือนเขาทำใจกับมันได้แล้วอย่างสมบูรณ์แบบ
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่รอรับผลบังคับใช้คำสั่งส่งมา ผมมักหาเวลาช่วงว่างเว้นจากงานไปอยู่เป็นเพื่อนดี.ดี. หุ่นยนต์ไม่มีความรู้สึกเหงา แต่หากเป็นคนเขาคงรู้สึก เขาบอกอยากออกไปวิ่งเล่นข้างนอก แต่ผมทำให้ไม่ได้จึงหาหนังสือภาพสวยๆ มาให้อ่านแทน เขาบอกว่าแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
ตัวเลขวันที่บนปฏิทินค่อยๆ เพิ่มขึ้นเหมือนการนับถอยหลัง อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนซึ่งเป็นเจ้าของโดยชอบธรรมของดี.ดี.มาหาเขาก่อนคำสั่งมาถึงหนึ่งวัน ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันในห้อง แต่วันนั้นผมต้องส่งผ้าเช็ดหน้าตัวเองให้อาจารย์ใหญ่ซับน้ำตา แกดูแก่ลงมากในเวลาสั้นๆ จนต้องให้คนประคองไปส่งที่รถ เพราะกลัวแกจะเป็นลมเป็นแล้งไป
เมื่อถึงกำหนดวัน ผมทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับดี.ดี.โดยเชิญคนที่เขาอยากพบหน้ามาที่สำนักงาน เหมยกับพ่อของเธอมาถึงตอนประมาณสิบโมง และผมขอคุยกับเด็กหญิงเป็นการส่วนตัว
เหมยตามผมเข้าไปในห้อง หันซ้ายมองขวาท่าทางไม่แน่ใจ
“ดี.ดี.อยู่ไหนคะ?” เธอถาม สำเนียงต่างถิ่นฟังยากนิดหน่อย
“เขาอยู่อีกห้องหนึ่ง” ผมตอบเสียงเรียบ “ฉันต้องถามบางอย่างกับหนูก่อนพาไปพบเขา ตกลงไหม?”
เด็กหญิงมีสีหน้าสับสน เธอขยับเก้าอี้แล้วนั่งลงตอบว่า “ค่ะ” ในตำแหน่งเดียวกันกับที่ดี.ดี.เคยนั่งเมื่อวันก่อน ต่างกันแค่เป็นอิสระจากกุญแจมือ
ผมมองหน้าเธอแล้วเริ่มต้นคำถามแรก “หนูรู้จักกฎความปลอดภัยของอาร์ซิมอฟหรือเปล่า”
“แน่นอนค่ะ ใครๆ ก็รู้” เหมยตอบแล้วเริ่มไล่เรียง “กฎของอาร์ซิมอฟคือข้อปฏิบัติซึ่งหุ่นยนต์จะละเมิดมิได้ 1.ต้องไม่ทำร้ายมนุษย์หรือปล่อยให้มนุษย์ได้รับอันตราย 2.ต้องเชื่อฟังคำสั่งมนุษย์ เว้นว่ามันขัดกับกฎข้อแรก 3.ต้องปกป้องตนเอง โดยไม่ขัดแย้งกับกฎสองข้อแรก”
“เก่งมากจ้ะ”
“หนูไปได้หรือยัง อยากเจอดี.ดี.จะแย่แล้ว”
“ขอเวลาอีกเดี๋ยวหนึ่งนะ” ผมกล่าว สบตาเด็กหญิงซึ่งจ้องตอบผมกลับมา ดูสั่นไหวและเต็มด้วยความรวดร้าว 1“ฉันอยากได้ยินว่าหนูไปรู้วิธีมาจากไหน” ผมว่าต่อ “วิธีทำให้หุ่นยนต์ละเมิดกฎสามข้อนี้ ใครสอนหนูมา?”
เธอสะดุ้งเล็กน้อย “หนูไม่รู้คุณหมายถึงอะไร”
“เป็นเด็กเป็นเล็กหัดโกหกมันไม่ดีนะ”
เพราะคาดอยู่แล้วว่าเธอต้องตอบปฏิเสธ ผมจึงหยิบภาพที่ขอมาจากโรงพยาบาลกับสำนักงานประกันภัยจากหุ่นยนต์ออกมา เธอรับไปดู แล้วเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าซีดเผือด
รูปภาพที่ผมได้มาไม่ใช่อะไรที่หวือหวา เป็นแค่ผลการตรวจร่างกายของเด็กชายคนที่ดี.ดี.ทำเขาแขนหักกับเสื้อผ้าซึ่งมีรอยเปื้อนตรงไหล่ซ้าย แต่เหมยรู้ซึ้งถึงความหมายของสองภาพนี้ดีว่านั้น
“ดี.ดี.ไม่ได้มีอะไรผิดปกติเลย เขาแค่เข้าใจผิดไปเพราะเธอเป่าหูเขา” ผมเริ่ม “หนึ่งวันก่อนเกิดเรื่อง เธอบอกกับดี.ดี.ว่าพวกเด็กที่แกล้งเธอไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจเลือดสีดำที่มีหน้าตาเหมือนมนุษย์ อีกทั้งยังชี้นำให้เขาเข้าใจว่ามนุษย์หมายถึงความดีงามซึ่งจำต้องถูกปกป้อง ตอนนั้นปัญญาประดิษฐ์ของเขาคงประมวลผลว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่มันคือข้อมูลที่เขารับรู้ เป็นระเบิดเวลาที่เธอเตรียมไว้”
“ก็หนูไม่คิดว่าเขาจะทำถึงขนาดนี้” เหมยร้องขัด
“ฟังให้จบก่อน” ผมกล่าวอย่างใจเย็น ทำเป็นไม่สนใจรอยจ้ำแดงใต้ขอบตาของเธอ “วันต่อมาที่โรงเรียน เธอจงใจย้ายที่นั่งไปใกล้กับดี.ดี. ฉันถามอาจารย์ใหญ่แล้วถึงรู้ว่าปกติเธอไม่ได้นั่งตรงนั้น ถ้าให้ฉันเดานะ มันยังเป็นที่นั่งของหนึ่งในกลุ่มเด็กที่มาแกล้งเธออีกด้วย เด็กเกเรมักจะหาเรื่องเล็กน้อยมาสร้างความชอบธรรมให้ตนได้เสมอแหละ --- แล้วพอพวกเขามาอยู่ในจุดที่เธอต้องการ เธอก็ถามดี.ดี.ว่าการกลั่นแกล้งถือเป็นเรื่องดีหรือไม่ สำหรับคนอื่นฟังอาจเป็นการยั่วยุ แต่สำหรับดี.ดี.แล้วต่างออกไป เธอเชื่อมโยงความหมายเรื่องมนุษย์เท่ากับความดีให้แก่เขา หว่านเมล็ดความสงสัยไปทั่ว แล้วรดน้ำให้มันแทงยอดอ่อนด้วยสิ่งที่เธอเตรียมมา --- ฉันกำลังพูดถึงปากกาหมึกซึมด้ามนั้น ซึ่งคงถูกตัดส่วนหัวออกเหลือไว้แค่หลอดบรรจุน้ำหมึก เธอทำเป็นแทงปากกาใส่เจ้าเด็กเกเร แต่แท้จริงเป็นการทำให้บริเวณที่เหมือนถูกแทงเปื้อนด้วยสีดำ ตรงกันกับเรื่องปีศาจที่เธอบอกกับดี.ดี. --- เขาเชื่อไปวินาทีหนึ่งว่าปีศาจในคราบมนุษย์มีอยู่จริง มันไปกระตุ้นการทำงานของกฎอาร์ซิมอฟข้อแรก เขาเข้าไปปกป้องเธอผู้ซึ่งเป็นมนุษย์จากการทำร้ายของปีศาจ แต่สิ่งที่เธอลืมคิดไป คือในเมื่อเป้าหมายไม่ใช่มนุษย์ เขาก็จะไม่ถูกจำกัดด้วยกฎห้ามใช้ความรุนแรงอีกแล้ว แขนของเด็กคนนั้นเลยหัก แต่ดี.ดี.ไม่ได้ละเมิดกฎเลย”
ผมสูดลมหายใจลึกหลังจากร่ายข้อสันนิษฐานรวดเดียวจบ
เหมยก้มหน้าลงและเริ่มร้องไห้ หยดน้ำตาเหมือนเม็ดไข่มุกใสๆ ร่วงเผาะผ่านแก้มของเธอ เสียงสะอื้นดังก้องสะท้อนกับผนัง เวลาผ่านไป ผมรอจนเธอหยุดร้องแล้วถามคำถามเดิม
“หนูไปรู้วิธีทำแบบนี้มาจากใคร?”
เด็กหญิงสั่นศีรษะ ดูไม่เหมือนการดื้อแพ่ง
“เคยเห็นมาจากสงครามรึ?” ผมตั้งข้อสังเกตหลังจากนึกถึงสถานที่ที่เธอจากมา
ครั้งนี้เธอพยักหน้า ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อส่งให้เธอเช็ดน้ำมูกซึ่งไหลย้อยมาถึงคาง บอกให้เอากลับบ้านไปได้เลยเพราะผมมีเตรียมไว้อีกหลายผืน
“หนูไม่เคยคิดอยากให้ดี.ดี.ถูกปิดการทำงาน” เหมยพูดขึ้นในที่สุด เสียงฟังขลุกขลักจากเสมหะในลำคอ “หนูแค่อยากจะเอาคืนเด็กพวกนั้นบ้าง ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมเรื่องร้ายๆ ถึงเกิดกับหนูตลอด”
“บางครั้งเราก็ควบคุมมันไม่ได้” ผมปลอบเธอ “แต่หนูไม่ควรเลือกทำสิ่งที่ผิด”
“หนูรู้ค่ะ มันเพราะตอนแรกหนูมองดี.ดี.เป็นแค่หุ่นยนต์ แต่ว่า...” เธอพูดไม่ทันจบก็ร้องไห้อีก ผมจึงช่วยต่อประโยคที่เหลือให้ “พอรู้ตัวว่าต้องเสียเขาไป เลยรู้สึกตัวว่าเขาคือเพื่อน ใช่ไหม?” เธอตอบเสียงสั่นว่า “ใช่ค่ะ ดี.ดี.เป็นเพื่อนของหนู”
เท่านี้คงเพียงพอแล้ว
ผมยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วหยิบลูกอมให้เหมย เดิมทีมันเป็นของที่ผมเตรียมเอาไว้ให้ดี.ดี. เขากินมันไม่ได้หรอกแต่ชอบสะสมเพราะบอกว่าลายบนห่อดูสวยดี แต่ขนมหวานป็นสิ่งที่เด็กชอบกัน เธอกินเข้าไปเม็ดหนึ่ง ตอนนี้ดูสงบสติอารมณ์ได้แล้ว แต่มีสีหน้าเป็นกังวลคล้ายผู้ต้องหาที่เตรียมตัวรับบทลงโทษ
“หนูไปได้แล้ว” ผมตัดสินใจปลดปล่อยเธอจากความหวาดกลัวด้วยคำสั้นๆ “ดี.ดี.รอหนูอยู่ที่อีกสามห้องทางซ้ายมือถัดจากนี้ บอกลาเขาได้นานเท่าที่หนูต้องการเลย แค่อย่านานเกินไปนัก”
เธอเบิกตาจ้องผมคล้ายสับสนสิ่งที่เพิ่งได้ยิน “แค่นี้เองหรือคะ”
“แค่นี้แหละ”
“คุณจะไม่ลงโทษหนูเลยหรือ”
“ฉันไม่ทำแน่ๆ”
“ทำไมคะ?”
“แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา” ผมย้อนถาม แต่ไม่ต้องการคำตอบ “หนูกับครอบครัวเจอเรื่องร้ายมากพอแล้ว เรื่องนี้อาจทำให้หนูต้องเสียสถานะผู้ลี้ภัยหรือถูกส่งกลับประเทศ ฉันไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น ขอแค่อยากให้หนูจดจำความผิดพลาดคราวนี้เป็นบทเรียน และสัญญาว่าจะไม่ทำมันอีก”
เหมยยอมให้สัตย์สาบานทันที เธอฉีกยิ้มกว้าง ดูมีความสุขมากกว่าตอนก้าวเข้ามาในสำนักงานราวกับเด็กคนละคน ก่อนบอกขอบคุณผมแล้วออกจากห้อง วิ่งตรงไปหาเพื่อนของเธอ
**********
เหมยใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงบอกลาดี.ดี. เธอไม่ร้องไห้เลยตอนคุยกับเขา แต่ผมมั่นใจว่าเมื่อกลับถึงบ้านเธอจะต้องร้อง และเป็นการร้องเข้าขั้นฟูมฟาย เพราะความรู้สึกผิดนี้จะติดตัวเธอไปตลอดชีวิต มันคือบทลงโทษแท้จริงซึ่งตัวบทกฎหมายข้อไหนก็ไม่อาจมอบให้ได้ สิบปีต่อจากนี้ เธออาจกลายเป็นคนใจบุญหรือจอมฉ้อฉลก็ไม่อาจทราบ ผมได้เพียงตั้งความหวังว่าทุกครั้งที่เธอคิดจะทำเรื่องไม่ดี ใบหน้าของดี.ดี.จะปรากฏให้เธอเห็น ย้ำเตือนเธอ และช่วยนำพาเธอกลับสู่เส้นทางที่ถูกที่ควร
ดี.ดี.นั่งหลับตาอยู่ในห้องเมื่อผมกลับเข้าไป เขาสงบนิ่ง ไม่ตื่นกลัว เกือบจะเป็นความศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระพุทธรูป ผู้ยอมรับความตายได้แล้วดูเป็นเช่นนี้เอง
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองมาที่ผม เขาพูด “ผมพร้อมแล้วครับ”
“เธอพร้อมแน่” ผมกล่าวพลางอ่านตัวเลขบนนาฬิกาข้อมือ “แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้มีแดดดีเหมาะกับการเดินเล่น”
“เออ… ผมไม่เข้าใจ”
“ฉันกำลังชวนเธอออกไปเปิดหูเปิดตาหน่อย มาเถอะ เธออุดอู้มาพอแล้ว”
ดี.ดี.ยิ้มแฉ่งเสมือนดวงอาทิตย์เจิดจ้าแล้วลุกจากเก้าอี้เดินตามผมมา
เราออกไปที่สวนด้านหลังของสำนักงาน บ่ายนี้อากาศไม่ร้อนเกินไปนักและมีลมพัดกำลังดี ฤดูนี้ดอกไม้นานาพรรณกำลังผลิดอกออกใบ คงดูสวยงามแม้กระทั่งกับชีวิตจำลอง เพราะเขาเอาแต่กระโดดโลดเต้นไปมา ส่งเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ ดูแล้วไม่ต่างกับเด็กจริงๆ เลย
ผมมองภาพความสุขสุดท้ายของเขาจากบนม้านั่งตัวหนึ่ง พออายุย่างเข้าวัยสามสิบห้าผมก็ไม่กระตือรือร้นเท่านี้อีกแล้ว ทว่าการเติบโตให้มอบสิ่งอื่นมาทดแทน นั่นคือโลกที่เปลี่ยนไป
ทั้งเลวร้ายลง ขมขื่น อยุติธรรม
ขณะเดียวกันก็ล้ำค่า งดงาม ชวนพิสมัย
ดีกับร้ายผสมปนเปจนแยกไม่ออก ทว่าขับเน้นซึ่งกันและกัน ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งที่มีกับสิ่งซึ่งอาจสูญเสีย และสิ่งที่ต้องพยายามปกป้องรักษาไว้ รวมถึงสิ่งที่ต้องปล่อยมือยอมให้มันจากไป
ดี.ดี.เดินมาสมทบข้างผม ใบหน้าดูพึงพอใจ เศษใบไม้ร่วงลงจากศีรษะของเขา
“ยังเหลือเวลาอีกหน่อยนะ” ผมบอก
เด็กชายสั่นศีรษะ “ผมควรต้องไปได้แล้ว ผมแอบเห็นนาฬิกาของคุณเดินไม่ตรง มันช้ากว่าเวลาจริงที่โปรแกรมของผมบอกตั้งหลายชั่วโมง”
“ฉันเสียท่าเธอแล้วสิ” ผมหลิ่วตาทำว่าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน “ยังมีอะไรอยากทำอีกไหม?”
“ไม่มีแล้วครับ” เขาตอบทันที แต่เหมือนจะนึกอะไรออก “อันที่จริง ผมยังเป็นห่วงเรื่องเหมยอยู่ ตอนพูดกับผมเธอดูเข้มแข็ง แต่ชีพจรของเธอที่ผมวัดได้บอกว่าเธอกำลังเสียใจ แล้วไหนจะเรื่องที่โรงเรียนอีก”
“เด็กคนนั้นจะผ่านมันไปได้”
“คุณรู้ได้อย่างไร”
“เพราะฉันเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง” ผมตอบ “เมื่อวานตอนอาจารย์ใหญ่มาเยี่ยมเธอ ฉันบอกเขาเรื่องปัญหาที่เหมยเผชิญ เขายืนยันว่าจะไม่ให้การกลั่นแกล้งกันเกิดขึ้นอีก ไม่ว่ากับเด็กคนไหนก็ตาม เธอวางใจเถอะ”
“ผมเป็นห่วงอาจารย์ใหญ่ด้วยเหมือนกัน”
“ฉันยังบอกเขาเรื่องเหมยหลอกใช้เธอด้วย” ผมสารภาพ ดี.ดี.นิ่งค้างไป “เราเห็นตรงกันว่าฉันต้องปิดเครื่องเธอ ทีแรกเขาจะไม่ยอม แต่หลังพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าเธอคงกลับไปที่โรงเรียนอีกไม่ได้แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ เขาบอกว่าคงทำใจได้ แต่มีข้อแม้ว่าเธอเองต้องเป็นฝ่ายยินยอมด้วยให้ฉันปิดเครื่องเธอ”
“ผมเสียท่าคุณแล้วสิ” เขาหัวเราะเสียงขึ้นจมูก “ผมยอมอยู่แล้ว”
“คิดหน่อยก็ดี ฉันจะให้โอกาสเธอตอบอีกรอบนะ”
“ผมเคยบอกกับเหมยว่าจะปกป้องเธอ” เขาว่าต่อ “เธอเป็นมนุษย์ ส่วนผมเป็นหุ่นยนต์ มันเห็นชัดออกว่าผมจะเลือกอะไร กฎความปลอดภัยของอาร์ซิมอฟก็บอกไว้ชัดเจน”
“กฎของอาร์ซิมอฟเป็นแค่หนึ่งในคำสั่งพื้นฐานที่หุ่นยนต์ทุกตัวต้องมี เธอรู้อยู่แล้ว แต่มันยังมีกฎปลีกย่อยต่างๆ อีกนับพัน หนึ่งในนั้นคือการต้องตอบทุกคำถามซึ่งเป็นข้อเท็จจริงกับมนุษย์ ตรงนี้แหละทำฉันแปลกใจ”
ดี.ดี.ขมวดคิ้วทำท่าสงสัย “แต่ผมไม่เคยโกหก”
“เธอทำไปแล้ว อย่างน้อยก็ใกล้เคียง” ผมบอก พยายามพูดจาเป็นงานเป็นการขึ้น “จำได้ไหมตอนอยู่ในห้องสอบสวน เธอเล่าให้ฉันฟังว่าเหมยหยิบแท่งเหล็กแทงใส่เด็กคนนั้น ทว่าความจริงมันคือปากกาเหล็ก ในรายงานของโรงพยาบาลถึงระบุว่าเขาแขนหัก แต่ไม่มีเขียนเกี่ยวกับแผลที่ไหล่เลย เธอไม่สามารถโกหกได้ก็จริง แต่กลับเลือกใช้คำกำกวมเพื่อให้ฉันไขว้เขวออกจากความจริงว่าเหมยคือคนชี้นำเธอ เพราะถ้าเธอบอกว่ามันเป็นปากกาตั้งแต่แรก ฉันก็คงรู้ทันทีเลย”
ดี.ดี.มองหน้าผมคล้ายอยากพูดอะไร แต่เขาไม่พูด แล้วก้มลงมองฝ่ามือสองข้างพลิกคว่ำพลิกหงายเหมือนต้องการสำรวจคราบสกปรกที่ไม่มีอยู่จริง
“หุ่นยนต์ไม่โกหก” เขาเอ่ย น้ำเสียงฟังเหมือนไม่แน่ใจ “ผมไม่ทันรู้ตัวเลย”
ผมช่วยยืนยันว่า “ใช่”
แล้ววางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่เขา
“เธอเป็นเด็กดีนะ”
ระหว่างเรามีความเงียบเกิดขึ้นครู่หนึ่ง แสงอาทิตย์อ่อนกำลังและเงาทั้งหลายกลายเป็นสีเข้มจนเกือบดำ จวนใกล้หมดวันแล้ว และเราทั้งคู่ต่างรู้ความหมายนี้ดี เด็กชายช้อนตามองที่ผม ดูเปี่ยมด้วยความสับสนและการตั้งคำถาม “มีคนเคยบอกผมว่าตัวตนของผมถูกโปรแกรมขึ้นมา ดังนั้นไม่ว่าผมจะทำประโยชน์แค่ไหนมันก็คือสิ่งที่กำหนดไว้แล้ว”
“ใครบอกเธอล่ะ?”
“ครูคนหนึ่ง เขาดูไม่ชอบผมเท่าไร” เขายักไหล่ทีหนึ่ง แล้วถาม “ผมดีเพราะเป็นหุ่นหรือฮะ”
“เปล่า” ผมว่า “เพราะเธอเป็นเธอ”
ดี.ดี.เผยรอยยิ้มบางๆ ซึ่งทั้งดูโศกเศร้าและยินดีในเวลาเดียวกัน ที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่สิ่งสมบูรณ์แบบอีกต่อไปแล้ว เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่กำลังหวาดกลัว สามัญดังเช่นคนธรรมดาทั่วไป
ผมอ้าปากเตรียมพูดรหัสคำสั่งปิดการทำงานของเขา ทว่าคำพูดกลับอ้อยอิ่งบนปลายลิ้นไม่ยอมเล็ดลอดออกมา มันก็อย่างที่ผมบอกคุณเมื่อก่อนหน้านี้แล้วว่าผมไม่ใช่คนที่เหมาะสมกับงานนี้เลย เพราะคงไม่มีเจ้าหน้าที่ในสำนักงานดีๆ คนไหนร้องไห้อย่างที่ผมทำ อันเป็นสาเหตุให้ผมยื่นใบลาออกในเวลาต่อมาพร้อมกับเอกสารที่ใจความสำคัญคลาดเคลื่อนไปจากความจริงเล็กน้อย
แล้ววันนั้นผมก็มีลูกชาย
**********
|